วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

มหาเถรสมาคม... แต่งตั้งตำแหน่งเจ้าคณะภาค ๒๖ รูป

มหาเถรสมาคมแต่งตั้งพระสังฆาธิการ
ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค

*************

               มหาเถรสมาคม แต่งตั้งเจ้าคณะภาคทั่วประเทศ มหานิกาย ๑๘ รูป ธรรมยุต ๘ รูป "เจ้าคุณเชิด" วัดสุทัศน์ เจ้าคณะภาค ๔ "เจ้าคุณเก็ง"    วัดไตรมิตรฯ เจ้าคณะภาค ๘...

             วันนี้ (๒๘ พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ครั้งที่ ๒๘/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ พ.ย. มีมติแต่งตั้งเจ้าคณะภาค ในส่วนของมหานิกาย จำนวน ๑๘ รูป คือ 



เจ้าคณะภาค ๑

พระเทพสุธี (สายชล ฐานวุฑฺโฒ ป.ธ.๙)

วัดชนะสงคราม กรุงเทพมหานคร


เจ้าคณะภาค ๒
พระเทพวิสุทธิโสภณ (เฉลา เตชวนฺโต ป.ธ.๙)
วัดราชคฤห์วรวิหาร กรุงเทพมหานคร


เจ้าคณะภาค ๓
พระธรรมปริยัติโมลี (อาทร อินฺทปญฺโญ ป.ธ.๙)
วัดบพิตรพิมุข กรุงเทพมหานคร


เจ้าคณะภาค ๔
พระวิสุทธาธิบดี (เชิด จิตฺตคุตฺโต ป.ธ.๙)
วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพมหานคร


เจ้าคณะภาค ๕
พระพรหมโมลี (สุชาติ ธมฺมรตโน ป.ธ.๙)
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร


เจ้าคณะภาค ๖
พระเทพเวที (พล อาภากโร ป.ธ.๙)
วัดสังเวชวิศยาราม กรุงเทพมหานคร


เจ้าคณะภาค ๗
พระพรหมเสนาบดี (พิมพ์ ญาณวีโร ป.ธ.๗)
วัดปทุมคงคา กรุงเทพมหานคร


เจ้าคณะภาค ๘
พระธรรมคุณาภรณ์ (เก็ง อาสโภ ป.ธ.๙)
วัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพมหานคร


เจ้าคณะภาค ๙
พระธรรมรัตนดิลก (สมเกียรติ โกวิโท ป.ธ.๙)
วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพมหานคร


เจ้าคณะภาค ๑๐
พระเทพวิสุทธิโมลี (พรหมา สปฺปญฺโญ ป.ธ.๙)
วัดจักรวรรดิราชาวาส กรุงเทพมหานคร


เจ้าคณะภาค ๑๑
พระธรรมเจดีย์ (สมคิด เขมจารี ป.ธ.๙)
วัดทองนพคุณ กรุงเทพมหานคร


เจ้าคณะภาค ๑๒
พระเทพรัตนมุนี (สุรชัย สุรชโย ป.ธ.๗)
วัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร


เจ้าคณะภาค ๑๓
พระพรหมกวี (ประกอบ ธมฺมเสฏฺโฐ ป.ธ.๙)
วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพมหานคร


เจ้าคณะภาค ๑๔
พระธรรมโพธิมงคล (สมควร ปิยาสีโล ป.ธ.๙)
วัดนิมมานรดี กรุงเทพมหานคร


เจ้าคณะภาค ๑๕
พระพรหมเวที (สุเทพ ผุสฺสธมฺโม ป.ธ.๙)
วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม


เจ้าคณะภาค ๑๖
พระธรรมวิมลโมลี (พงศ์สรร อสิญาโณ ป.ธ.๙)
วัดไตรธรรมาราม จังหวัดสุราษฏร์ธานี


เจ้าคณะภาค ๑๗
พระเทพกิตติเวที (ฉ่ำ ปุญฺญชโย ป.ธ.๙)
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร


เจ้าคณะภาค ๑๘
พระเทพสิทธิมุนี (บุญสิน อุตฺตมชาโต ป.ธ.๙)
วัดดุสิดาราม กรุงเทพมหานคร



*******************************

แต่งตั้งคณะสงฆ์ธรรมยุต  เป็นเจ้าคณะภาคจำนวน ๘ รูป คือ ...

๑.สมเด็จพระธีรญาณมุนี (สมชาย วรชาโย) วัดเทพศิรินทราวาส เป็นเจ้าคณะภาค ๑-๒-๓ และ ๑๒-๑๓ (ธรรมยุต) 

๒.สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เจ้าคณะภาค ๔-๕-๖-๗ (ธรรมยุต) 

๓.พระเทพสารเมธี (บัวศรี ชุตินธโร) วัดประชานิยม จ.กาฬสินธุ์ เป็น เจ้าคณะภาค ๘ (ธรรมยุต) 

๔.พระเทพดิลก (วัชรพันธ์ นันทิโย) วัดปทุมวนาราม เป็นเจ้าคณะภาค ๙ (ธรรมยุต) 

๕.พระธรรมธัชมุนี (อมร ญาโณทโย) วัดปทุมวนาราม เป็น เจ้าคณะภาค ๑๐ (ธรรมยุต)

๖.พระพรหมวิสุทธาจารย์ (มนตรี คณิสสโร) วัดเครือวัลย์ เป็นเจ้าคณะภาค ๑๑ (ธรรมยุต) 

๗.พระเทพเจติยาจารย์ (ยุทธศักดิ์ กิตติยุตโต) วัดโสมนัสวิหาร เป็นเจ้าคณะภาค ๑๔-๑๕ (ธรรมยุต) 

๘.พระธรรมกิตติเมธี (เกษม สญฺญโต) วัดราชาธิวาสวิหาร เป็นเจ้าคณะภาค ๑๖-๑๗-๑๘ (ธรรมยุต)... 



ขอบคุณข่าว...https://dailynews.co.th/education/744124

ภาพจาก...เพจ พัดยศ สมณศักดิ์พระสงฆ์ไทย
https://web.facebook.com/Pramahamint/?__tn__

คณะสงฆ์จังหวัดปทุมธานีรวมพลังสร้างสัปปายะใน “โครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข”

คณะสงฆ์ และจิตอาสา...
ทำความดีสร้างพลังสัปปายะให้พุทธศาสนสถาน
...............................
            จากหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก  ได้นำเสนอข่าวคณะสงฆ์และจิตอาสา ปทุมธานี ช่วยกันทำความสะอาดศาสนสถาน     สร้างสัปปายะให้กับวัดวาอาราม....

             เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 28 พฤศจิกายน 2562 ที่อุโบสถวัดพระธรรมกาย ตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จิตอาสาชาวคลองสาม 500 คน พร้อมคณะสงฆ์จังหวัดปทุมธานีรวมพลังสร้างสัปปายะใน “โครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข” และร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว



             โดยมีพระครูสังฆรักษ์รังสฤษดิ์ อิทฺธิจินฺตโก เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการฯ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีนายนิพนธ์ แก้วธรรม รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยพระสงฆ์ ผู้นำชุมชน ประธานนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร อาสาสมัคร นักเรียน และประชาชนผู้มีจิตอาสาอันเป็นกุศล พร้อมเพรียงกันเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้จำนวน 500 คน แบ่งเป็น 7 กลุ่ม โดยร่วมกันสร้างสัปปายะสู่วัดตามแบบแผนที่เตรียมการไว้ ประกอบด้วย การ กวาดพื้นถนน, กวาดและเก็บใบไม้, กวาดและถูพื้นอุโบสถ, เช็ดเสาอุโบสถ เป็นต้น ท่ามกลางบรรยากาศแห่งรู้รักสามัคคี มั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนา และอิ่มบุญปลื้มใจกันถ้วนหน้า




           สำหรับการจัดกิจกรรม   “รวมพลังสร้าง    สัปปายะ” นี้ จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามปฏิทินการดำเนินงานโครงการฯ โดยองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม ได้ประสานความร่วมมือกับวัดพระธรรมกาย, มูลนิธิธรรมกาย, คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย, ศูนย์ส่งเสริมศีลธรรมจังหวัดปทุมธานี, ชมรมรักษ์บวร รักษ์ศีล 5, สมาพันธ์หมู่บ้านจัดสรรอำเภอคลองหลวง, ชมรมเรารักคลองสามผู้นำชุมชน, กลุ่มอาสาสมัคร, สถานศึกษา และภาคีเครือข่ายฯ ขับเคลื่อนดำเนินงาน “โครงการ วัด ประชา รัฐ สร้างสุข” 

             การดำเนินกิจกรรม “สร้างสัปปายะสู่วัดด้วยวิถี 5ส ที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม” ตามมติมหาเถรสมาคม และแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ฝ่ายสาธารณูปการ ของมหาเถรสมาคม ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน เพื่อการนำหลักพุทธธรรมเรื่องสัปปายะ และแนวคิดของระบบ 5 ส ลงสู่บริบทของวัด และชุมชน, 

              ควบคู่กับการมุ่งส่งเสริมให้วัดเป็นพื้นที่ต้นแบบของการพัฒนาพื้นที่ทางกายภาพ การเรียนรู้ และจิตใจของชุมชน, โดยการขยายผลหลักพุทธธรรมเรื่องสัปปายะ และแนวคิดของ 5 ส รวมถึงหลักความรับผิดชอบต่อสังคมสู่ประชาชน โดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง รวมถึงองค์กร และประชาชนในชุมชนมีส่วนร่วม, ซึ่งทั้งหมดนี้ ย่อมจักนำไปสู่การสร้างสังคมแห่งสุขภาวะอย่างยั่งยืนสืบไป.




ภาพ/ข่าว : ประทีป ผ่องผุด ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.ปทุมธานี

ขอบคุณ link ข่าว .... https://www.komchadluek.net/news/local/401597

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

UNESCO ยกย่อง พระไทย เป็นบุคคลสำคัญของโลก สาขาสันติภาพ

UNESCO ยกย่อง หลวงปู่มั่น

 -สมเด็จพระมหาสมณเจ้า 

กรมพระยาวชิรญาณวโรรส 

เป็นบุคคลสำคัญของโลก สาขาสันติภาพ

.............................


              ถือเป็นข่าวที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายปลาบปลื้มใจอย่างที่สุด เมื่อในวาระครบรอบบุคคลสำคัญ และเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ในวาระปี 2563-2564 "ยูเนสโก" ได้ยกย่อง"พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งจะครบรอบ 150 ปีชาตกาล (20 ม.ค.63) และ"สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส" ครบ 100 ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ (2 ส.ค. 2464) เป็นบุคคลสำคัญของโลก สาขาสันติภาพ เช่นเดียวกันกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

                 

            
 "หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต" หรือนามตามสมณศักดิ์ว่า พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต เป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ผู้เป็นบูรพาจารย์สายพระป่าในประเทศไทย

           
ท่านเกิดเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2413 ที่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องรวม 9 คน เมื่อท่านอายุได้ 15 ปี ได้เข้าบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบ้านคำบง เมื่อบวชได้ 2 ปี บิดาขอร้องให้ลาสิกขาเพื่อช่วยการงานทางบ้าน

           
ต่อมา "หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล" ได้ธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่ บ้านคำบง พระอาจารย์มั่นในขณะเป็นฆราวาส จึงเข้าถวายการรับใช้ และมีจิตศรัทธาในข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่เสาร์ ต่อมาได้ถวายตัวเป็นศิษย์ติดตามเดินทางเข้าเมืออุบลราชธานี

           
เมื่อท่านอายุได้ 23 ปี ในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2436 ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดเลียบ อ.เมืองฯ จ.อุบลราชธานี โดยมี พระอริยกระวี (อ่อน ธมฺมรกฺขิโต) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย ญาณสโย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับขนานนามเป็นภาษามคธว่า "ภูริทตฺโต แปลว่า ผู้ให้ปัญญา"

            "
พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต" ได้ปฏิบัติตนตามแนวทางคำสอนพระศาสดาอย่างเคร่งครัด และยึดถือธุดงควัตรด้วยจริยวัตรปฏิปทา งดงาม จนได้รับการยกย่องจากผู้ศรัทธาทั้งหลายว่า เป็นพระผู้เลิศทางธุดงควัตร ... ท่านวางแนวทางในการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้แก่สมณะ ประชาชน อย่างกว้างขวาง จนมีพระสงฆ์และฆราวาสเป็นลูกศิษย์จำนวนมาก แนวคำสอนของท่านเป็นที่รู้จักกันดีในนามว่า คำสอนพระป่า (สายพระอาจารย์มั่น)

             
หลังจากท่านมรณภาพ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 ยังคงมีพระสงฆ์ที่เป็นลูกศิษย์ของท่านสืบต่อแนวปฏิปทา ธรรมปฏิบัติของท่านสืบมา โดยลูกศิษย์มักถูกเรียกขานว่า "พระกรรมฐานสายวัดป่า" หรือ "พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น" ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านได้รับยกย่องจากผู้ศรัทธาให้เป็น "พระอาจารย์ใหญ่สายวัดป่า" หรือ พระอาจารย์ใหญ่แห่งวงศ์พระกรรมฐานวัดป่า สืบมาจนปัจจุบัน...







                  
"สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส" เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เสด็จสถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ได้รับมหาสมณุตตมาภิเษก เมื่อปี พ.ศ.2453 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรงพระอิสริยยศ 11 พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อปีพ.ศ. 2464 พระชันษา 61 ปี

             
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาแพ ประสูติเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2403 ในวันที่พระองค์ประสูตินั้น ฝนตกหนักมากราวกับฟ้ารั่ว เหมือนนาคให้น้ำบริเวณนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานนามว่า "พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ" ต่อมา เจ้าจอมมารดาแพถึงแก่กรรมลงในขณะที่พระองค์มีพระชันษาเพียง 1 ปี พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุตรี ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระมาตุจฉา จึงทรงรับไปเลี้ยงดู เมื่อทรงเจริญวัยทรงพระดำเนินได้ รับสั่งได้คล่องแคล่ว จึงเสด็จพำนักอยู่กับท้าวทรงกันดาล (ศรี) ซึ่งเป็นยายแท้ ๆ

               
เมื่อพระชันษาได้ 8 ปี ทรงเริ่มศึกษาภาษาบาลี จนสามารถแปลธรรมบทได้ก่อนผนวชเป็นสามเณร นอกจากนี้ยังทรงศึกษาภาษาอังกฤษ และโหราศาสตร์อีกด้วย ถึงปี พ.ศ. 2416 เมื่อพระชันษาได้ 13 ปี ได้ทรงผนวชเป็นสามเณร โดยมี "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์" เป็นพระอุปัชฌาย์ และ หม่อมเจ้าพระธรรมมุณหิศธาดา (สีขเรศ วุฑฺฒิสฺสโร) ทรงเป็นผู้ประทานศีล 10 หลังจากทรงบรรพชาแล้วได้ประทับอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ประมาณ 2 เดือน จึงทรงลาผนวช

               
ครั้นครบปีบวช พระชันษา 20 ปี ได้ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2422 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌายาจารย์ และพระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จนฺทรํสี) วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร อยู่ 1 พรรษา จึงย้ายไปประทับที่วัดมกุฏกษัตริยาราม เพื่อศึกษาข้อวัตรปฏิบัติของพระจันทรโคจรคุณผู้เป็นพระอาจารย์

                      พระองค์ได้ทรงปรับปรุงการพระพุทธศาสนา และทางคณะสงฆ์ในด้านต่างๆ เป็นอันมากโดยเริ่มงานตั้งแต่เสด็จไปตรวจการคณะสงฆ์ในหัวเมืองต่างๆ เกือบทั่วราชอาณาจักร โดยกระทำอย่างต่อเนื่องทุกปี เกือบตลอดพระชนม์ชีพ ทำให้ทรงทราบความเป็นไปของคณะสงฆ์ และของ ประชาชนในภูมิภาคต่างๆ เป็นอย่างดี และนำข้อมูลและปัญหาต่างๆ มาปรับปรุง แก้ไขในทุกๆด้าน
       

ขอบคุณข่าว...https://mgronline.com/politics/detail/9620000113603

โรงเรียนตัวอย่างความดี ...รร.ย่านตาขาว จ.ตรัง

เด็กๆ ร.ร.บ้านย่านตาขาวเดินเท้า
เข้าวัดทุกวันโกน


                    ตรัง - ชื่นชม ผอ. ครู นักเรียน รร.บ้านย่านตาขาว จ.ตรัง พร้อมใจกันหิ้วปิ่นโต-ดอกไม้ เดินเท้าเข้าวัดทุกวันโกนร่วม 5 ปีแล้ว โดยมี "เจ้าน้ำตาล" สุนัขแสนรู้ขวัญใจเด็กๆ ตามไปด้วย

             วันโกน คือ วันขึ้นหรือแรม 7 ค่ำกับ 14 ค่ำ ซึ่งเป็นวันก่อนวันพระ 1 วัน ที่โรงเรียนบ้านย่านตาขาว อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง ซึ่งเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 1 นายณัฐ ลายทองสุก ผอ.ร.ร.บ้านย่านตาขาว มีนโยบายให้นักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึง ป.6 ที่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งมีทั้งหมด 946 คน หมุนเวียนกันนำปิ่นโตอาหารคาวหวาน พร้อมดอกไม้ เดินเท้าออกจากโรงเรียนไปร่วมทำบุญที่วัดนิกรรังสฤษฎ์ ซึ่งอยู่ห่างประมาณ 300 เมตร ตามโครงการเข้าวัดวันโกน


ขอบคุณภาพจาก Thai PBS 3


                แต่ถ้าหากวันโกนใดตรงกับวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ ครูและนักเรียนก็จะเข้าวัดทำบุญกันล่วงหน้าก่อนถึงวันโกน โดยไม่เคยขาดแม้แต่ครั้งเดียว นับตั้งแต่ปี 2557 หรือเป็นเวลายาวนานมาประมาณ 5 ปีแล้ว ซึ่งจะมีการหมุนเวียนกันไปวันโกนละ 1 ระดับชั้น โดยมีพี่ๆ ตำรวจสายตรวจและจราจร สภ.ย่านตาขาว พร้อมรถนำขบวน ช่วยอำนวยความสะดวกเพื่อความปลอดภัย โดย ผอ.ร.ร.บ้านย่านตาขาวจะเป็นผู้นำแถวเด็กๆ ซึ่งในมือทุกคนจะมีปิ่นโตและดอกไม้

ขอบคุณภาพจาก Thai PBS 3

                ส่วนคุณครูก็จะแต่งกายแบบไทยพร้อมหิ้วปิ่นโตและตะกร้าเดินเท้าออกจากโรงเรียน เพื่อมุ่งหน้าเข้าวัดทำกิจกรรมสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ ศึกษาเรียนรู้ลำดับขั้นตอนเกี่ยวกับศาสนพิธี ฟังพระธรรมเทศนา และร่วมสมาทานศีลกับนักเรียน

ขอบคุณภาพจาก Thai PBS 3

              จากนั้น เมื่อถึงเวลาพระฉันเพล เด็กๆ ก็จะร่วมกันพัฒนาวัด เช่น ทำความสะอาด เก็บขยะ ล้างห้องน้ำ ก่อนที่นักเรียนและคุณครูจะร่วมกันรับประทานอาหารแล้วเดินทางกลับไปเรียนตามปกติ


ขอบคุณภาพจาก Thai PBS 3


                   นอกจากความน่ารักของน้องๆ นักเรียนโรงเรียนบ้านย่านตาขาวแล้วยังมีภาพของความน่ารักของสัตว์โลกอย่างสุนัขตัวหนึ่งที่ชื่อว่า “เจ้าน้ำตาล” สุนัขเพศผู้ที่พิการขาจากเหตุรถชนบาดเจ็บ เจ้าของร้านขายข้าวหน้าโรงเรียนรู้สึกสงสารช่วยนำไปรักษาจนมีชีวิตรอดมาได้ และกลายเป็นสุนัขขวัญใจของเด็กๆ โดยช่วงกลางคืน เจ้าน้ำตาลจะไปนอนอยู่หน้าร้านขายข้าวที่ช่วยชีวิตมันไว้ แต่พอรุ่งเช้า ถ้าโรงเรียนเปิด มันก็จะไปโรงเรียนทุกวัน และร่วมเข้าแถวหน้าเสาธงกับน้องๆ นักเรียน

              แต่ที่แปลกก็คือ เมื่อถึงวันโกนที่เด็กๆ ต้องไปวัด เจ้าน้ำตาลก็จะเข้าแถวเดินตามไปวัดด้วยทุกครั้ง ถือเป็นสุนัขแสนรู้ที่ใครๆ ก็ต่างเมตตาสงสาร แถมยังเป็นภาพของความน่าประทับใจอีกด้วย



ขอบคุณข่าวจาก... https://mgronline.com/south/detail/9620000113337





วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

วิบากกรรมจากการผิดศีลข้อ ๓

กะเทย มีศรัทธา อยากมาบวช 
ทำอย่างไรดี ????



              เรื่องนี้มีบางท่านเขียนเข้ามาถามใน social  ว่า หากกะเทย มีศรัทธาในพระศาสนา  ทำไมสังคมบางส่วนจึงมองว่าเป็นพระตุ๊ด ....ไม่เหมาะสม  .....????      

             ก่อนอื่น  ต้องขออิงกับเรื่องกฏแห่งกรรม   ทุกอย่างในโลกนี้  ล้วนมีที่มา และมีที่ไป  การเกิดมาเป็นกะเทย ... เกย์Q...  เกย์K... ทอม... ดี้ ..เสือใบ..หรือโบท  อะไรต่าง ๆ นั้น  มีสาเหตุมาจากการผิดศีลข้อ ๓ มาในอดีต หลังจากชดใช้กรรมมาระดับหนึ่งแล้ว ก็ต้องมาเกิดเป็นบุคคลที่มีจิตใจเป็นแบบนี้ 

                ทุกคนในโลกนี้   ไม่เคยมีใครที่ไม่เคยเกิดเป็นผู้หญิง และไม่เคยมีใครที่ไม่เคยเกิดเป็นผู้ชาย  ในวัฏฏะสงสารอันยาวนาน อันหาเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลายไม่พบนั้น  ทุกคนเคยเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน   พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่อธิบายเหตุและผลไว้อย่างชัดเจน  



             ผู้ที่ทำผิดศีลกาเมฯ  เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ต้องไปรับผลกรรมที่นรก  ตามวิบากกรรมของตนที่ทำไว้ 




          เมื่อวิบากกรรมเบาบาง จากนรก  ก็มาเป็นเปรต  อสุรกาย  ต่อจากเปรต อสุรกาย ก็มาต่อด้วยการเป็นสัตว์เดรัจฉาน เริ่มต้นจากสัตว์ชั้นต่ำ ดังนี้คือ...
  
        - มาเกิดเป็นหนอนในส้วม เพราะชอบของคาว ของสกปรก  - มาเกิดเป็นสุนัข เพราะชอบสำส่อน  - มาเกิดเป็นลิง เพราะชอบหลอกลวงเขา  - มาเกิดเป็นลา เพราะทำให้คู่ครองของตนต้องแบกหน้า ด้วยความละอาย  - มาเกิดเป็นวัว คาราบาว เพราะไปสวมเขา ลอบเป็นชู้กับภรรยาชาวบ้าน

         เมื่อวิบากกรรมเบาบางจากสัตว์เดรัจฉาน ก็มาเกิดเป็นมนุษย์จำพวกเพศไม่บริสุทธิ์ เช่น กะเทย ... เกย์Q... เกย์K... ทอม... ดี้ ..เสือใบ..หรือโบท เป็นต้น

        เมื่อวิบากกรรมเบาบางลง ก็จะมาเกิดเป็นโสเภณี เพราะวิบากกรรมผิดศีลกาเมฯ ในชาติที่เป็นผู้ชายมาส่งผล และวิบากกรรมยังรุนแรงอยู่
  
        เมื่อวิบากกรรมเบาบางลง ก็จะมาเกิดเป็นหญิงที่มีครอบครัว แต่จะได้สามีเจ้าชู้ เหมือนกับตนเอง สมัยที่เกิดเป็นผู้ชายเจ้าชู้ ถ้ามีกรรมกาเมฯ รวมกับกรรมปาณาติบาต ก็จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง มดลูก หรือมะเร็งเต้านม จนเสียชีวิต เป็นต้น

      เมื่อวิบากกรรมเบาบางลง ก็จะมาเกิดเป็นผู้หญิงธรรมดาที่มีครอบครัว   เมื่อวิบากกรรมเบาบางลง ก็จะมาเกิดเป็นหญิงธรรมดาที่ไม่มีครอบครัว  เมื่อใกล้จะหมดกรรม ก็จะมาเกิดเป็นหญิงธรรมดา ที่ตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์  

       แต่ถ้าบางคนสั่งสมบุญมามาก  บุญนั้นก็จะไปตัดตอนวิบากกรรม  การส่งผลของกรรมนั้น จะไม่เรียงตามลำดับ   

      แต่ในระหว่างนี้ ถ้าเผลอไปผิดศีลกาเมฯ อีก ก็ต้องวกกลับไปเข้าวงจรเดิมอีก ไม่รู้จักจบสิ้น ทุกข์ทรมานอีกยาวนาน  ในทางตรงกันข้าม  ถ้าหมดจากกรรม ก็จะเกิดมาเป็นผู้ชายดี ๆ  ...เจอภรรยาดี ๆ ...แล้วก็อยากบวช  ตามลำดับ 

          เพราะฉะนั้น  ถ้าจะถามว่ากะเทย มีศรัทธาอยากมาบวช  ควรทำอย่างไร...???
  
          ในความเห็นส่วนตัว  การเกิดมาเป็นกะเทยนั้น  เป็นผลจากวิบากกรรมในการผิดศีลข้อ  โดยภาวะจิตใจของเขาถูกบีบคั้นให้
หมกมุ่นในเรื่องเพศ  เรื่องกาม  มากกว่าคนปกติทั่วไป   การมาบวชรวมอยู่กับพระภิกษุนั้น ไม่สมควรอย่างยิ่ง  เพราะอาจจะเป็นภัยกับพรหมจรรย์ของพระอื่น ๆได้ เพราะพระสงฆ์ที่ตั้งใจบวช แล้วปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เพื่อความสะอาด  บริสุทธิ์  และฝึกฝนอบรมตนเอง ก็มีอยู่มาก อาจจะกระทบหมู่ใหญ่ 

               เพราะฉะนั้น กะเทยที่มีจิตศรัทธาอยากบวชนั้น  ขั้นแรกอยาก  ให้มาทำจิตใจให้เข้มแข็ง โดยการหมั่นทำทาน  รักษาศีล ๕ , ๘  และเจริญภาวนา  ตามโอกาสไปก่อน  เมื่อใจเรานิ่ง  สงบดีขึ้นแล้ว  แล้วค่อยพิจารณาเรื่องการบวชต่อไป   หากทำได้อย่างนี้  ถือว่าเป็นกุศลใหญ่  ที่จะได้ช่วยกันรักษาพระศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป 


               พระสงฆ์ เป็นบุคคลากรของพระพุทธศาสนา  ที่จะรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้  จะต้องคัดคุณภาพมาอย่างดี  เพื่อจะได้เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา  และเป็นผู้นำศีลธรรม และผู้นำจิต วิญญาณให้กับบุคคลโดยทั่วไปได้  
               
           โดยสรุป... การบวชเป็นสิ่งดี  เป็นสิ่งที่ควรสนับสนุน    แต่เมื่อมาบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว  ก็ควรคำนึงถึงความเจริญ และความเสื่อมของพระพุทธศาสนา  คือต้องปฏิบัติตามเสขียวัตร กิริยามารยาทสงบเสงี่ยม  งดงาม อยู่ในพระวินัย  ตั้งใจลดละกิเลส  มุ่งศึกษาพระธรรม ฝึกฝนอบรมตนตั้งปริยัติ  ปฏิบัติ  ปฏิเวธ  อย่างนี้ จึงควรมาบวช

              ขออนุโมทนาบุญ ในกุศลจิตที่มีความปรารถนาดีกับเพื่อนมนุษย์ทุก ๆ คน มีความรักและความจริงใจ  ปรารถนาอยากให้ทุกคนได้บวช  เป็นการช่วยกันดำรงพระพุทธศาสนาให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป   

          พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๖๔   หน้าที่ ๒๑๙,๒๒๐

          พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๔  หน้าที่ ๑๖๔ 

กะเทย อยากบวชต้องทำฝึกอย่างไร

กะเทย มีศรัทธา อยากมาบวช 
ทำอย่างไรดี ????



              เรื่องนี้มีบางท่านเขียนเข้ามาถามใน social  ว่า หากกะเทย มีศรัทธาในพระศาสนา  ทำไมสังคมบางส่วนจึงมองว่าเป็นพระตุ๊ด ....ไม่เหมาะสม  .....????      

             ก่อนอื่น  ต้องของอิงกับกับเรื่องกฏแห่งกรรม   ทุกอย่างในโลกนี้  ล้วนมีที่มา และมีที่ไปหมด  การเกิดมาเป็นกะเทย ... เกย์Q... เกย์K... ทอม... ดี้ ..เสือใบ..หรือโบท  อะไรต่าง ๆ นั้น  มีสาเหตุมาจากการผิดศีลข้อ 3 มาในอดีต หลังจากชดใช้กรรมมาระดับหนึ่งแล้ว ก็ต้องมาเกิดเป็นบุคคลที่มีจิตใจเป็นแบบนี้ 

                ทุกคนในโลกนี้   ไม่เคยมีใครที่ไม่เคยเกิดเป็นผู้หญิง และไม่เคยมีใครที่ไม่เคยเกิดเป็นผู้ชาย  ในวัฏฏะสงสารอันยาวนาน อันหาเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลายไม่พบนั้น  ทุกคนเคยเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน   พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่อธิบายเหตุและผลไว้อย่างชัดเจน  


             ผู้ที่ทำผิดศีลกาเมฯ  เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ต้องไปรับผลกรรมที่นรก  ตามวิบากกรรมของตนที่ทำไว้ 


เมื่อวิบากกรรมเบาบาง จากนรก  ก็มาเป็นเปรต  อสุรกาย  ต่อจากเปรต อสุรกาย ก็มาต่อด้วยการเป็นสัตว์เดรัจฉาน เริ่มต้นจากสัตว์ชั้นต่ำ ดังนี้คือ...


        - มาเกิดเป็นหนอนในส้วม เพราะชอบของคาว ของสกปรก

        - มาเกิดเป็นสุนัข เพราะชอบสำส่อน
        - มาเกิดเป็นลิง เพราะชอบหลอกลวงเขา 
        - มาเกิดเป็นลา เพราะทำให้คู่ครองของตนต้องแบกหน้า ด้วยความละอาย
        - มาเกิดเป็นวัว คาราบาว เพราะไปสวมเขา ลอบเป็นชู้กับภรรยาชาวบ้าน

         เมื่อวิบากกรรมเบาบางจากสัตว์เดรัจฉาน ก็มาเกิดเป็นมนุษย์จำพวกเพศไม่บริสุทธิ์ เช่น กะเทย ... เกย์Q... เกย์K... ทอม... ดี้ ..เสือใบ..หรือโบท เป็นต้น
        เมื่อวิบากกรรมเบาบางลง ก็จะมาเกิดเป็นโสเภณี เพราะวิบากกรรมผิด

ศีลกาเมฯ ในชาติที่เป็นผู้ชายมาส่งผล และวิบากกรรมยังรุนแรงอยู่


        เมื่อวิบากกรรมเบาบางลง ก็จะมาเกิดเป็นหญิงที่มีครอบครัว แต่จะได้สามีเจ้าชู้ เหมือนกับตนเอง สมัยที่เกิดเป็นผู้ชายเจ้าชู้ ถ้ามีกรรมกาเมฯ รวมกับกรรมปาณาติบาต ก็จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง มดลูก หรือมะเร็งเต้านม จนเสียชีวิต เป็นต้น

      เมื่อวิบากกรรมเบาบางลง ก็จะมาเกิดเป็นผู้หญิงธรรมดาที่มีครอบครัว เพราะวิบากกรรมกาเมฯ ในชาติที่เป็นผู้ชายมาส่งผล

      เมื่อวิบากกรรมเบาบางลง ก็จะมาเกิดเป็นหญิงธรรมดาที่ไม่มีครอบครัว

      เมื่อใกล้จะหมดกรรม ก็จะมาเกิดเป็นหญิงธรรมดา ที่ตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์

      แต่ในระหว่างนี้ ถ้าเผลอไปผิดศีลกาเมฯ อีก ก็ต้องวกกลับไปเข้าวงจรเดิมอีก ไม่รู้จักจบสิ้น ทุกข์ทรมานอีกยาวนาน  ในทางตรงกันข้าม  ถ้าหมดจากกรรม ก็จะเกิดมาเป็นผู้ชายดี ๆ  ...เจอภรรยาดี ๆ ...แล้วก็อยากบวช  ตามลำดับ 

          เพราะฉะนั้น  ถ้าจะถามว่ากะเทย มีศรัทธาอยากมาบวช  ควรทำอย่างไร...???


          ในความเห็นส่วนตัว  การเกิดมาเป็นกะเทยนั้น  เป็นผลจากวิบาก

กรรมในการผิดศีลข้อ 3 โดยภาวะจิตใจของเขาถูกบีบคั้นให้หมกมุ่นในเรื่อง

เพศ  เรื่องกาม  มากกว่าคนปกติทั่วไป   การมาบวชรวมอยู่กับพระภิกษุนั้น 

เห็นว่าไม่ควรอย่างยิ่ง  เพราะอาจจะเป็นภัยกับพรหมจรรย์ของพระอื่น ๆได้ 

เพราะพระสงฆ์ที่ตั้งใจบวช แล้วปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เพื่อความสะอาด 

บริสุทธิ์  และฝึกฝนอบรมตนเอง ก็มีอยู่มาก  อาจจะกระทบหมู่ใหญ่ 



               เพราะฉะนั้น กะเทยที่มีจิตศรัทธาอยากบวชนั้น  ขั้นแรกอยาก

ให้มาทำจิตใจให้เข้มแข็ง โดยการหมั่นทำทาน  รักษาศีล 5  และเจริญ

ภาวนา  ตามโอกาสไปก่อน  เมื่อใจเรานิ่ง  สงบดีขึ้นแล้ว  แล้วค่อยพิจารณา

เรื่องการบวชต่อไป   หากทำได้อย่างนี้  ถือว่าเป็นกุศลใหญ่  ที่จะได้ช่วยกัน

รักษาพระศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป 


               พระสงฆ์ เป็นบุคคลากรของพระพุทธศาสนา  ที่จะรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้  จะต้องคัดคุณภาพมาอย่างดี  เพื่อจะได้เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา  และเป็นผู้นำศีลธรรม และผู้นำจิต วิญญาณให้กับบุคคลโดยทั่วไปได้  

               

           โดยสรุป... การบวชเป็นสิ่งดี  เป็นสิ่งที่ควรสนับสนุน    แต่เมื่อมาบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว  ก็ควรคำนึงถึงความเจริญ และความเสื่อมของพระพุทธศาสนา  คือต้องปฏิบัติตามเสขียวัตร กิริยามารยาทสงบเสงี่ยม  งดงาม อยู่ในพระวินัย  ตั้งใจลดละกิเลส  มุ่งศึกษาพระธรรม ฝึกฝนอบรมตนตั้งปริยัติ  ปฏิบัติ  ปฏิเวธ  อย่างนี้ จึงควรมาบวช


              ขออนุโมทนาบุญ ในกุศลจิตที่มีความปรารถนาดีกับเพื่อนมนุษย์ทุก ๆ คน มีความรักและความจริงใจ  อยากทุกคนได้บวช  เป็นการช่วยกันดำรงพระพุทธศาสนาให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป   







พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๖๔  หน้าที่ ๒๑๙,๒๒๐

พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๔  หน้าที่ ๑๖๔

ชนะวิกฤต​ Covid-19 ด้วยการสวดมนต์เป็นไปได้จริงหรือไม่

ชนะวิกฤต​ Covid-19   ด้วยการสวดมนต์เป็นไปได้จริงหรือไม่       ช่วงนี้คงได้ข่าวเกี่ยวกับ รมต.สำนักนายก ได้เสนอให้มหาเถรสมาคม  ถ่ายท...