ความเป็นมาของการฝังลูกนิมิต ผูกพัทธสีมา
ลูกนิมิตคืออะไร ???
ลูกนิมิต
ก็คือ
ลูกหินกลมๆที่ใช้ฝังเพื่อเป็นเครื่องหมายบอกให้ทราบว่าตรงไหนเป็นเขตอุโบสถหรือโบสถ์
เพื่อให้พระสงฆ์ได้ใช้เป็นที่ประกอบสังฆกรรมนั่นเอง
เหตุที่ต้องมี "
นิมิต ” เป็นเครื่องหมายบอกว่าตรงไหนเป็นโบสถ์ ก็สืบเนื่องมาจากในสมัยพุทธกาล
เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนาแล้ว
ภายหลังได้มีผู้เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุสาวกมากขึ้น
พระองค์จึงได้ส่งพระภิกษุเหล่านี้ออกไปเผยแผ่พระศาสนาตามที่ต่างๆ
ซึ่งการที่พระภิกษุออกไปอยู่ห่างไกลจากพระพุทธองค์นั้น
ก็เท่ากับห่างจากการฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์
อีกทั้ง
พระสงฆ์ที่บวชแล้วก็มิใช่ว่าจะบรรลุพระอรหันต์กันทุกองค์ ดังนั้น
อาจจะเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งของพระพุทธองค์ที่ต้องการให้มีการทบทวนพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์อยู่เสมอ
รวมทั้งให้สงฆ์ได้มีการปรึกษาหารือเพื่อแก้ปัญหาหรือทำกิจบางประการร่วมกัน
ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงได้กำหนดให้ พระสงฆ์ต้องประชุมร่วมกัน หรือที่เรียกว่า
ทำสังฆกรรม ในบางเรื่อง เช่น การสวดปาติโมกข์ การบวชพระ การกรานกฐิน
และการปวารณากรรม เป็นต้น โดยกำหนดให้ทำสังฆกรรมในบริเวณที่กำหนดไว้เท่านั้น
เพื่อมิให้ฆราวาสมายุ่งเกี่ยว
ในสมัยแรกๆพระภิกษุยังไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน
แม้ว่าต่อมาจะมีผู้ถวายพื้นที่เป็นวัดให้พระอยู่
แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นป่าตามธรรมชาติ เช่น วัดเวฬุวัน (ป่าไผ่) ดังนั้น
เมื่อพระสงฆ์ต้องจาริกไปยังที่ต่าง ๆ จึงทรงให้
หมายเอาวัตถุบางอย่างเป็นเครื่องกำหนดเขตแดน ขึ้น เรียกว่า การ ผูกสีมา (คำว่า
" สีมา ” แปลว่า " เขตแดน ” ) ซึ่งพระพุทธองค์ได้กำหนดไว้ ๘ ประการ
ได้แก่ ภูเขา ศิลา ป่าไม้ ต้นไม้ จอมปลวก หนทาง แม่น้ำ และ น้ำนิ่ง
และเรียกเครื่องหมายบอกเขตแดนนี้ว่า " นิมิต ”
แต่นิมิตเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งมีอยู่ตามธรรมชาติ
ทำให้การกำหนดเขตแดนที่จะทำสังฆกรรมเวลาผ่านไปมักจะคลาดเคลื่อน จึงมีการกำหนดนิมิตใหม่ คือ
เป็นนิมิตที่จัดสร้างหรือทำขึ้นเฉพาะ เช่น บ่อ คู สระ และก้อนหิน
โดยเฉพาะก้อนหินเป็นที่นิยมกันมาก เพราะทนทานและเคลื่อนย้ายได้ยาก
ครั้นเมื่อเทคโนโลยี่ มีความก้าวหน้ามากขึ้น
จึงได้มีการประดิษฐ์ก้อนหินให้เป็นลูกกลมๆเป็นเครื่องหมายที่ค่อนข้างถาวรขึ้นแทน
และเรียกกันว่า " ลูกนิมิต ” ดังที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
" การฝังลูกนิมิต ”
นี้ มีชื่อเรียกเป็นทางการอีกอย่างหนึ่งว่าการ " ผูกพัทธสีมา ” (ซึ่งก็แปลว่า
เขตทำสังฆกรรมที่กำหนดตามพุทธานุญาต)
โดยปัจจุบันจะเริ่มจากพระสงฆ์ประชุมพร้อมกันในโบสถ์ เพื่อทำพิธี สวดถอน
มิให้อาณาบริเวณที่จะกำหนดนี้ไปทับที่ที่เคยเป็นสีมา
หรือเป็นที่ที่มีเจ้าของครอบครองอยู่ก่อน
เมื่อพระสงฆ์สวดถอนเป็นแห่ง ๆ ไปตลอดสถานที่ที่กำหนดเป็นเขตแดนทำสังฆกรรมแล้วว่ามีอาณาเขตเท่าใด
โดยทั่วไป
ลูกนิมิตที่ใช้ผูกสีมา ไม่ได้กำหนดไว้ว่ามีจำนวนกี่ลูก ส่วนใหญ่จะใช้ 9 ลูก เพราะมี 8 ทิศ ลูกเอกอีก 1 ลูก บางวัดก็แตกต่างกันไป เช่น ที่อุโบสถวัดวชิรธรรมปทีป นิวยอร์ก ฝังลูกนิมิต109 ลูก .... บางวัดใช้ลูกนิมิต 273 ลูก ที่วัดนาโปร่ง จ. อุตรดิตถ์ หรือ บางวัดใช้ ลูกนิมิตยักษ์ (วัดสว่างอารมณ์ ใหญ่เท่าตึก 2 ชั้น) วัดดังอยุธยา สร้างลูกนิมิตจำลองใหญ่ที่สุดในโลก เส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เมตร ฯลฯ ซึ่งแล้วแต่ความเห็นสมควรในแต่ละวัด
เมื่อจะผูกสีมาพระสงฆ์จำนวนอย่างน้อย ๔
รูป จะเดินตรวจลูกนิมิตที่วางไว้ตามทิศต่างๆ โดยเริ่มตั้งแต่ทิศตะวันออกเป็นต้นไป
เรียกว่า สวดทักสีมา จนครบทุกทิศและมาจบที่ทิศตะวันออกอีกครั้งเพื่อให้แนวนิมิตบรรจบกัน
เมื่อสวดทักนิมิตจบแล้วก็จะกลับเข้าไปประชุมสงฆ์ในอุโบสถ
และสวดประกาศสีมาอีกครั้ง
หลักในการวางลูกนิมิตตามทิศต่าง ๆ ดังนี้
1. ทิศตะวันออก (ทิศบูรพา) ลูกที่อยู่ด้านหน้าของอุโบสถ
ถือเป็นลูกบริวารที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ เป็นลูกแรกที่ต้องเริ่มนับ
ยกเว้นลูกกลางสะดือโบสถ์ ดังนั้น จึงเปรียบนิมิตลูกนี้เหมือนปฐมสาวก หรือ
พระสาวกองค์แรกของพระพุทธเจ้า คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ
พระอัครสาวกผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะผู้รู้ราตรีกาลนาน คือ มีความรู้มาก
ผ่านโลกมามาก เนื่องจากท่านเป็นผู้เดียว
ที่เมื่อยังเป็นดาบสที่ทำนายพระราชกุมารรคือพระพุทธเจ้าเมื่อมีพระประสูติกาล
และทำนายว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
และพระดาบสก็เฝ้ารอการบรรพชาของพระองค์เพื่อจะได้ออกบวชตามพระองค์
และถวายตัวเป็นพระอัครสาว
การฝังลูกนิมิตไว้ด้านทิศตะวันออกเพื่อเป็นการบูชาพระอัญญาโกณฑัญญะ
เป็นการอัญเชิญและบูชาพระจันทร์ เทพผู้คุ้มครองสถานที่ส่วนด้านหน้าของอุโบสถ
2. ทิศตะวันออกเฉียงใต้ (ทิศอาคเนย์) หรือด้านหน้าฝั่งขวาของอุโบสถ
การฝังลูกนิมิตไว้ทางทิศนี้ เพื่อบูชา พระมหากัสสปะเถระ
พระอัครสาวกผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะผู้ทรง
ธุดงค์คุณ ซึ่งต่อมาได้เป็นประธานสงฆ์ทำสังคายนา เป็นการอัญเชิญและบูชาพระอังคารเทพผู้คุ้มครองสถานที่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุโบสถอีกองค์หนึ่ง
ธุดงค์คุณ ซึ่งต่อมาได้เป็นประธานสงฆ์ทำสังคายนา เป็นการอัญเชิญและบูชาพระอังคารเทพผู้คุ้มครองสถานที่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุโบสถอีกองค์หนึ่ง
3. ทิศใต้
(ทิศทักษิณ) เป็นลูกนิมิตที่อยู่ด้านขวาของอุโบสถ
เป็นการบูชาพระสารีบุตร พระอัครสาวกฝ่ายขวา
พระอัครสาวกผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะผู้เลิศในทางปัญญา เป็นการอัญเชิญและบูชาพระพุธ เทพผู้คุ้มครองสถานที่ด้านทิศใต้ของอุโบสถ
4. ทิศตะวันตกเฉียงใต้ (ทิศหรดี) หรือทิศด้านหลังฝั่งขวาของอุโบสถ
การฝังลูกนิมิตทางด้านทิศนี้ เพื่อบูชาพระอุบาลีเถระ
พระอัครสาวกผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะผู้เลิศในทางวินัย
และเป็นการอัญเชิญและบูชาพระเสาร์ ซึ่งเป็นเทพหนึ่งในนพเคราะห์ทั้ง ๙ คือ
เทพผู้ดูแลคุ้มครองสถานที่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอุโบสถ
5. ทิศตะวันตก (ทิศประจิม) เป็นลูกนิมิตที่ฝังอยู่ด้านหลังของตัวอุโบสถ
เป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายของเงา ซึ่งเปรียบได้กับพระเถระที่เป็นพุทธอุปัฏฐาก
คอยเฝ้าติดตามดูแลปรนนิบัติรับใช้พระพุทธองค์เหมือนเงาตามตัว ดังนั้น
การฝังลูกนิมิตทางทิศนี้ เพื่อเป็นการบูชา พระอานนท์เถระ
พระอัครสาวกผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะผู้เลิศในทางพหูสูตและเป็นมหาพุทธอุปัฎฐากแด่พระพุทธเจ้า และอัญเชิญบูชาพระพฤหัสบดี เทพคุ้มครองทิศตะวันตก
6. ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (ทิศพายัพ) การฝังลูกนิมิตที่ฝังอยู่ด้านหลังฝั่งซ้ายของอุโบสถทางด้านทิศนี้
เป็นการบูชา พระควัมปติเถระ
พระอัครสาวกผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะผู้เลิศในทางลาภสักการะและรูปงาม ท่านเป็นพระอรหันต์องค์ที่ ๑๐ ของโลก และเป็นสหาย ๑ ใน ๔
ของพระยสะกุลบุตรอีกทั้งเป็นบุตรของนางสุชาดาผู้ถวายข้าวมธุปายาสในวันก่อนที่พระพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
และอัญเชิญบูชาพระราหู ซึ่งเป็นเทพประจำทิศนี้
7. ทิศเหนือ (ทิศอุดร) ลูกนิมิตที่ฝังทางด้านทิศนี้ถือเป็นลูกที่มีความสำคัญอีกลูกหนึ่ง
ซึ่งอยู่ด้านซ้าย ของตัวอุโบสถ เพื่อเป็นการบูชา พระมหาโมคคัลลานะ พระอัครสาวกฝ่ายซ้ายของพระพุทธเจ้า
ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะผู้เลิศในทางแสดงฤทธิ์ และอัญเชิญบูชาพระศุกร์เทพคุ้มครองรักษาประจำทิศนี้
8. ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (ทิศอีสาน) ลูกนิมิตที่ฝังอยู่ด้านหน้าฝั่งซ้ายของอุโบสถทางทิศเหนือนี้
เป็นสัญญลักษณ์แห่งความผูกพัน มีผลทางด้านจิตใจ ถือเป็นทิศสุดท้าย เพื่อเป็นการบูชา พระราหุลเถระ ซึ่งเป็นพระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ
พระอัครสาวกผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะผู้เลิศในทางการศึกษา และอัญเชิญบูชาพระอาทิตย์เทพผู้คุ้มครองรักษาประจำทิศ
เราชาวพุทธควรมีการทำบุญหรือเข้าพิธีในการฝังลูกนิมิตสักครั้งในชีวิต
เพราะประเพณีในการฝังลูกนิมิตมีความเชื่อกันว่าจะได้รับอานิสงส์มากมายทั้ง 6 ประการ คือ
1. จะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บทุกชาติ
ปราศจากอุปัททวะ (อุ-ปัด-ทะ-วะ สิ่งอัปมงคล) ทั้งหลาย
2. จะไม่เกิดในตระกูลต่ำ ไม่ยากจน มีความอุดมสมบูรณ์
3.
หากเกิดในมนุษย์โลกก็จะเกิดเป็นท้าวพระยามหากษัตริย์ ?หรือเกิดในตระกูลที่ดี
4.
หากเกิดในเทวโลกก็จะเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช
5. จะสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง
มีฐานะ มีคนให้เกียรติ ?มีผิวพรรณผ่องใส
6. จะมีอายุยืนนาน
มีสุขภาพที่แข็งแรง
นอกจากนี้ ในพิธีผูกพัทธสีมาปิดทองฝังลูกนิมิตนั้นนิยมจะใส่สมุด ดินสอ เข็ม และด้าย เป็นต้น ลงไปในหลุมที่ฝังลูกนิมิตด้วย ทั้งนี้เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นนิมิตหมายแห่งความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ได้สร้างบุญ ซึ่งขอนำมาอรรถาธิบายโดยสังเขป ดังนี้
เข็ม หมายถึง ความเป็นผู้มีปัญญา สามารถรู้แจ้งแทงตลอดอย่างทะลุปรุโปร่ง
ด้าย หมายถึง ความเป็นผู้มีอายุยืนยาวตราบเท่าอายุขัย
ธูป หมายถึง พระคุณของพระพุทธเจ้า ๓ ประการ คือ พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณและพระมหากรุณาธิคุณ ที่เราทั้งหลายน้อมรำลึกถึงอยู่ ธูปจึงเป็นสัญญลักษณ์แห่งการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เทียน หมายถึง พระธรรมอันแสดงถึงความสว่างไสวประดุจดังประทีปส่องสว่าง ฉะนั้น เทียนจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการบูชาพระธรรม
ดอกไม้ หมายถึง ความสวยงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ดอกไม้จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการบูชาพระสงฆ์ ซึ่งดอกไม้หลากสีสัน เมื่อนำมาใส่แจกันจัดเป็นดอกไม้จึงทำให้เกิดความสวยสดงดงาม อุปมาดังหมู่สงฆ์ที่มาจากต่างตระกูล ต่างครอบครัวเมื่อมาอยู่ร่วมกันในร่มพระพุทธศาสนาแล้วก็ก่อให้กิดความงดงามอย่างยิ่ง
แผ่นทอง หมายถึง ธรรมดาว่า ทองคำ เป็นคุณชาติที่สูงค่าที่นำมาปิดองค์พระ ลูกนิมิต ช่อฟ้า เป็นเครื่อง แสดงให้เห็นถึงความยกย่อง เชิดชูบูชาด้วยใจที่สูงส่ง ผลานิสงส์ย่อมอำนวยผลให้ได้ผลสำเร็จในสิ่งที่เป็น ความงามโดยประการทั้งปวง
สมุด, แผ่นกระดาษ ดินสอ สำหรับจดบันทึกจารึกสิ่งต่าง ๆ ไว้ หมายถึง ความเป็นผู้ทรงจำดี ไม่มีหลงลืมเลือน
สำหรับ วัดพระธรรมกายจะมีการฝังลูกนิมิต จำนวน 108 ลูก ในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 นี้
สำหรับ วัดพระธรรมกายจะมีการฝังลูกนิมิต จำนวน 108 ลูก ในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 นี้
วัดพระธรรมกายมีการสร้างอุโบสถหรือโบสถ์มาตั้งแต่ปี
2520 เสร็จสมบูรณ์เมื่อวันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม
พ.ศ.2525
เนื่องจากทางวัดฯ มีพระภิกษุ อยู่จำพรรษา เป็นจำนวนมาก เมื่อถึงเวลาที่พระสงฆ์ ลงอุโบสถ เพื่อประพิธีสังฆกรรม เช่นทบทวนปาฏิโมกข์ การบวชพระ การกรานกฐิน และการปวารณากรรม เป็นต้น พระภิกษุ โดนแดดบ้าง โดนฝนบ้าง ทำให้พระภิกษุมาความลำบากในการประกอบพิธีกรรมของสงฆ์ ทำให้มีดำริให้ขยายพื้นที่ของอุโบสถเดิม ให้รองรับพระภิกษุที่มาร่วมทำสังฆกรรม ได้จำนวนหลายพันรูปได้ อุโบสถพระไตรปิฎก จึงได้เริ่มขึ้นในต้นปี 2560
อุโบสถพระไตรปิฎก หลังนี้
จะเป็นที่รวมของพระไตรปิฎก 8 ฉบับ 5 ภาษา
อีกทั้งยังเป็นที่กันแดดกันฝนให้สำหรับพระภิกษุสงฆ์ผู้มาทำสังฆกรรมร่วมกัน ได้ มีพิธีเปิดม่านมงคลบรมจักรพรรดิไปแล้ว ในวันที่ 22 เมษายน ที่ผ่านมา
อุโบสถพระไตรปิฎก หลังนี้ มีความสำคัญมาก เพราะเป็นอุโบสถที่ใช้ บวชพระสงฆ์ในการสืบอายุพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก และเป็นที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางพระศาสนา เมื่อสงฆ์มีการรวมตัวกัน ก็เท่ากับทำให้พระศาสนามีความมั่นคง
ยั่งยืนสืบไป
สำหรับผู้ที่ได้ทำบุญในครั้งนี้ จะมีอานิสงส์จะนับจะประมาณมิได้ อาทิเช่น จะทำให้นึกนิมิต ได้ง่าย จะเข้าถึงธรรมได้ง่าย
พระเดชพระคุณ หลวงปู่ฯ ท่านให้เอามาเป็น “นิมิต“
ให้นึกเป็นดวงใส ๆ ซึ่งใหม่ๆ อาจจะยังไม่ใส ก็ให้นึกแบบนี้ไปก่อน นอกจากนี้ยัง ทำให้เราเข้าไปเชื่อมโยงกับพระในตัวของเราได้
ดังนั้น...ไม่ควรพลาดบุญใหญ่อย่างนี้
เพราะฉะนั้นขอเชิญนักสร้างบารมีทุกท่านร่วมเป็นเจ้าของบุญผูกพัทธสีมา ฝังลูกนิมิต ณ อุโบสถพระไตรปิฎก วัดพระธรรมกาย ปทุมธานี ด้วยกันนะคะ